วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อายุยืน

อายุยืน
สุรศักดิ์มายืนรอแฟนที่ห้างแห่งหนึ่ง เขารอแฟนนานมากจึงคิดจะไปล้างหน้า
หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กวัยรุ่นกำลังนั่งกินช็อกโกแลค
ทอฟฟี่ น้ำอัดลม เขาจึงเดินเข้าไปเตือน
สุรศักดิ์ : น้อง น้องรู้ไหมว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์
เด็กวัยรุ่น : รู้เพ่ ก็ผมกินประจำ
สุรศักดิ์ : อ้าว แล้วน้องไม่เป็นไรหรือ
เด็กวัยรุ่น : ปู่ผมอายุ 100ปี
สุรศักดิ์ : ปู่น้องกินของพวกนี้ประจำเหมือนกันเรอะ
เด็กวัยรุ่น : ป่าว
สุรศักดิ์ : แล้วเอาปู่มาอ้างทำไม
เด็กวัยรุ่น : ปู่ผมไม่เคยยุ่งเรื่องชาวบ้าน อายุเลยยืน
สุรสักดิ์ : ???????? 

เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์



 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์(Nuclear Reactor) คือ เครื่องผลิตพลังงานนิวเคลียร์ที่สามารถควบคุมการแบ่งแยก
นิวเคลียร์และปฏิกิริยาลูกโซ่ให้เกิดขึ้นในอัตราที่พอเหมาะ ทำให้สามารถนำเอาพลังงานความร้อน นิวตรอน 
และรังสีที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
        เรื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์มีหลายชนิด มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันไป โดยแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วน
มีส่วนประกอบของเครื่องโดยทั่วไปมีดังนี้
  1. เชื้อเพลิง (Fuel) อาจใช้ยูเรเนียม พลูโตเนียม เป็นต้น
     2. มอเดอร์เรเตอร์ (Moderator) มีหน้าที่ทำให้นิวตรอนวิ่งช้าลงเพราะนิวตรอนช้ามีประสิทธิภาพในการทำให้เกิดการ
แบ่งแยกนิวเคลียสได้ดีกว่านิวตรอนเร็ว สารที่ใช้เป็นมอเดอร์เรเตอร์ได้แก่ คาร์บอน เมื่อนิวตรอนวิ่งผ่านคาร์บอนจะชนกับ
อะตอมของคาร์บอนทำให้มันวิ่งช้าลงได้ความเร็วตามต้องการ
     3. แท่งบังคับ (Control Rods) มีหน้าที่ควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ให้เกิดมากเกินไป ที่นิยมใช้คือ แคดเมียม หรือ
โบรอน แคดเมียมจะเป็นตัวดูดกลืนนิวตรอนไว้ได้ดีมาก ดังนั้นถ้าสอดแท่งแคดเมียมให้ลึกเข้าไปในเครื่องมาก ๆ ก็จะดูดกลืน
นิวตรอนไว้ได้น้อยลงทุกทีและปฏิกิริยาลูกโซ่ก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามมา
     4. ตัวทำให้เย็น (Coolant) เพื่อนำเอาความร้อนออกไปจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ โดยอาจใช้น้ำธรรมดาหรือโลหะ
โซเดียมหรือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ฮีเลียม อากาศเป็นต้น
     5. เครื่องกำบัง (Shield) มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีออกจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งอาจทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย 
เครื่องกำบังอาจทำด้วยคอนกรีตหนา ๆ หรืออาจใช้บ่อน้ำก็ได้
     การทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อาจอธิบายได้ดังนี้ เริ่มจากยูเรเนียมที่ใส่อยู่ในเครื่องนั้นปกติจะเป็น  มีปริมาณ
น้อยกว่า 1% ของยูเรเนียมทั้งหมดทำหน้าที่ เป็นเชื้อเพลิง ส่วนยูเรเนียมที่เหลือนอกนั้นคือ  เมื่อมีนิวตรอนวิ่งผ่านเข้าไป
ในเครื่องจะยิงนิวเคลียสของ  ทำให้เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียสขึ้น นิวเคลียสที่ถูกแบ่ง แยกออกจะมีนิวตรอนเกิดขึ้น 1 
หรือ 2 ตัว ซึ่งจะวิ่งผ่านเข้าเครื่องต่อไปแล้วยิงนิวเคลียสอื่นต่อไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่และได้พลังงานเกิดขึ้นมากมาย


วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่าวมาหยา


      กำแพงผาหินปูนขนาดใหญ่โอบล้อมผืนน้ำสีฟ้าใสที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวใสเมื่อห่างออกมาจากชายหาด และเป็นสีเขียวเข้มเมื่อลงไปสู่พื้นที่ลึก ๆ บริเวณนี้คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ซึ่งต่างรู้สึกถึงความสบาย เงียบสงบท่ามกลางหาดขาว แดดสวย หลายคนอาจเคยชมภาพยนตร์เรื่อง The Beach ซึ่งใช้อ่าวมาหยาอันเป็นสวนหนึ่งของเกาะพีพีเล อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เป็นสถานที่ถ่ายทำ จนอ่าวมาหยากลายเป็นแหล่งทองเที่ยวที่มีผู้คนรู้จักไปทั่วโลก หลายคนอดใจไม่ไหว ต้องมาเยือนให้ได้สักครั้ง

         ใครได้มาเยือนหาดทรายในเวิ้งอ่าวแห่งนี้แล้วไม่หลงรัก ต้องบอกว่าใจแข็งมาก เพราะเพียงแรกเห็นอ่าวมาหยาหลายคนก็ตกหลุมรักแล้ว สำหรับกิจกรรมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอ่าวมาหยา ส่วนใหญ่เน้นการดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น นอนอาบแดด พายเรือคายัก หรือปีนหน้าผา ซึ่งจะเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามไปอีกแบบ

         ทางอุทยานฯ หาดนพรัตน์ ธารา-หมู่เกาะพีพีอนุญาตให้พักค้างแรมบนอ่าวมาหยาได้ โดยต้องนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปเอง และควรติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า




     การเดินทาง  

         จากจังหวัดกระบี่ วิธีการเดินทางท่องเที่ยวที่สะดวกที่สุด คือ ใช้บริการเรือทัวร์ เพราะเรือใหญ่ให้บริการเฉพาะเส้นทางเกาะพีพี ไปไม่ถึงเกาะพีพีเล ต้องเหมาเรือหางยาว หรือซื้อทัวร์แบบไปเช้า-กลับเย็นจะสะดวกที่สุด

         บริษัททัวร์ผู้ไห้บริการในเส้นทางนี้ คือ

        
 เกาะพีพี ทัวร์ โทรศัพท์ 08 1477 4857, 08 7885 0880

        
 ทัวร์กระบี่ โทรศัพท์ 0 7563 2212, 08 9650 9110

         สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองฯ จังหวัดกระบี่ 81000 โทรศัพท์ 0 7563 7200, 0 7566 1145

น้ำตกพริ้ววว'ว





อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย และมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ น้ำตกพลิ้วที่สวยงาม มีน้ำตกตลอดปี เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโลเมตร ถนนลาดยางตลอดสายทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีเนื้อที่ประมาณ 134.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่


ความเป็นมา : ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ ในขั้นแรกกรมป่าไม้ได้กำหนดพื้นที่ที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 และในปี พ.ศ. 2515 ได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงบริเวณน้ำตกพลิ้ว จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานป่าไม้จังหวัดจันทบุรี

ในคราวประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2517 ได้มีมติให้รีบดำเนินการประกาศพื้นที่ป่าที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร็ว และจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือด่วนมาก ที่ จบ.09/1401 ลงวันที่ 31 มกราคม 2517 ขอให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว เพื่อปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักการจัดการวนอุทยาน ประกอบกับในปี 2517 กองอุทยานแห่งชาติมีแผนงานจัดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2517 กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งที่ 360/2517 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2517 ให้นายสินไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ตรี และนายประชุม ตัณยะบุตร พนักงานโครงการชั้น 2 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลบริเวณป่าน้ำตกพลิ้ว เขาสระบาป ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ปรากฏว่า บริเวณดังกล่าวประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธาร เช่น น้ำตก หน้าผา ถ้ำ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กส 0708(อส)/7 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2517

กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในคราวประชุมครั้งที่ 6/2517 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2517 เห็นชอบให้กำหนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ในท้องที่ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ ตำบลคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม และตำบลมาบไพ ตำบลวังสรรพรส ตำบลตรอกนอง ตำบลซึ้ง ตำบลตะปอน ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 92 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2518 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 11 ของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า " อุทยานแห่งชาติเขาสระบาป "

ต่อมานายผจญ ธนมิตรามณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาสระบาป ได้มีหนังสือ ที่ กษ 0708 (สบ)/พิเศษ ลงวันที่ 1 มีนาคม 2525 ขอเปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติเขาสระบาปเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เนื่องจากน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามตามธรรมชาติเป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนโดยทั่วไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2525 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2525 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อเป็น " อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว "

โรงแรมที่สวยที่สุดในโลก

BURJ AL ARAB โรงแรมหรูหราระดับ 7 ดาว เป็นโรงแรมที่สวยที่สุด และมีชื่อเสียงของตะวันออกกลาง ที่หลายคนอยากมาเข้ามาสัมผัส ตั้งอยู่ริมอ่าว ซึ่งเป็นที่พักของเศรษฐีชาวอาหรับและเศรษฐีทั่วโลก 

ชื่อ BURJ AL ARAB มีความหมายแปลตามตัวอักษรได้ว่า......
Burj แปลว่า หอคอย
Al เป็น article เหมือนคำว่า the
ARAB คือ อาหรับ
ดังนั้นชื่อโรงแรมแห่งนี้หมายถึง หอคอยแห่งอาหรับ นั่นเองครับ

เป็นโรงแรมที่ออกแบบและถูกสร้างในสไตล์ Modern ออกแบบโดยสถาปนิกชาว ฝรั่งเศส ที่ตั้งใจให้โรงแรมแห่งนี้มีรูปทรงคล้ายเรือใบ 

ฝ้าของโถง Lobby ออกแบบเป็นวงรียาว จากซ้ายจรดขวา สวยทุกมุมมอง และมีพรมสีแดงตัดกับสีเหลืองทองทรงรีรองรับอยู่ด้านล่าง 
โถง Lobby ที่สวยงาม อ๊ากๆๆๆๆ อยากไป





อยากไป.....แต่.........ม่ายมีตัง-_-!!

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โพสดีๆ







บัณฑิตพึงทำความดีทุกเมื่อ ถ้าทำความดีช้าไป อกุศลจะเข้าแทรก เนื่องจากการชิงช่วงและช่วงชิงของความดีความชั่วนั้นมีอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ทุกๆ คนนั้น ตราบใดที่ยังไม่หมดสิ้นอาสวกิเลส ต้องไม่ประมาทในการสร้างความดี เพราะความดีหรือบุญกุศลเป็นเสบียงที่สำคัญที่สุดของทุกชีวิต สำหรับการเดินทางไกลในสังสารวัฏ

ดังนั้น จึงควรหมั่นสั่งสมบุญให้มาก ให้ทุกลมหายใจเป็นไปเพื่อการสั่งสมบุญบารมี เมื่อใจของเราผูกพันกับการสร้างบารมีเช่นนี้ จิตใจย่อมจะถูกกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ รองรับการบรรลุมรรคผลนิพพานต่อไป

.............................................................
เติมความสุข กำลังใจ สู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
www.facebook.com/ThanavuddhoStory
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของภาพนี้




วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บทละคอนเรื่องระเด่นลันได



บทละคอนเรื่องระเด่นลันได


(ช้าปี่)
๏ มาจะกล่าวบทไป
ถึงระเด่นลันไดอนาถา
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภา
ตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วน
กำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม
มีทหารหอนเห่าเฝ้าโมงยาม
คอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย ฯ ๔ คำ ฯ


๏ เที่ยวสีซอขอข้าวสารทุกบ้านช่อง
เป็นเสบียงเลี้ยงท้องของถวาย
ไม่มีใครชังชิงทั้งหญิงชาย
ต่างฝากกายฝากตัวกลัวบารมี
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์
ยุงชุมสุมควันแล้วเข้าที่
บรรทมทมเหนือลำแพนแท่นมณี
ภูมีซบเซาเมากัญชา ฯ ๔ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยันตะวันโด่ง
โก้งโค้งลงในอ่างแล้วล้างหน้า
เสร็จเสวยข้าตังกับหนังปลา
ลงสระสรงคงคาในท้องคลอง ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ


(ชมตลาด)
๏ กระโดดคำสามทีสีเหื่อไคล
แล้วย่างขึ้นบันไดเข้าในห้อง
ทรงสุคนธ์ปนละลายดินสอพอง
ชโลมสองแก้มคางอย่างแมวคราว
นุ่งกางเกงเข็มหลงอลงกรณ์
ผ้าทิพย์อาภรณ์พื้นขาว
เจียระบาดเสมียนละว้ามาแต่ลาว
ดูราวกับหนังแขกเมื่อแรกมี
สวมประคำดีควายตะพายย่าม
หมดจดงดงามกว่าปันหยี
กุมตระบองกันหมาจะราวี
ถือซอจรลีมาตามทาง ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า


(ร่าย)
๏ มาเอยมาถึง
เมืองหนึ่งสร้างใหม่ดูใหญ่กว้าง
ปราสาทเสาเล้าหมูอยู่กลาง
มีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง
พระเยื้องย่างเข้าทางทวารา
หมู่หมาแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง
แกว่งตระบองป้องปัดอยู่เก้กัง
พระทรงศักดิ์หยักรั้งคอยราญรอน ฯ ๔ คำ ฯ เชิด


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะหูกลวงดวงสมร
ครั้นรุ่งเช้าท้าวประดู่ภูธร
เสด็จจรจากเวียงไปเลี้ยงวัว
โฉมเฉลาเนาในที่ไสยา
บรรจงหั่นกัญชาไว้ท่าผัว
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว
หวีหัวหาเหาเกล้าผมมวย
ได้ยินแว่วสำเนียงเสียงหมาเห่า
คิดว่าวัวเข้าในสวนกล้วย
จึงออกมาเผยแกลอยู่แร่รวย
ตวาดด้วยสุรเสียงสำเนียงนาง
พอเหลือบเห็นระเด่นลันได
อรไทผินผันหันข้าง
ชม้อยชม้ายชายเนตรดูพลาง
ชะน้อยฤๅรูปร่างราวกับกลึง
งามกว่าภัสดาสามี
ทั้งเมืองตานีไม่มีถึง
เกิดกำหนัดกลัดกลุ้มรุมรึง
นางตะลึงแลดูพระภูมี ฯ ๑๐ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
พระสุวรรณลันไดเรืองศรี
เหลียวพบสบเนตรนางตานี
ภูมีพิศภักตร์ลักขณา ฯ ๒ คำ ฯ


(ชมโฉม)
๏ สูงระหงทรงเพียวเรียวรูด
งามละม้ายคลายอูฐกะหลาป๋า
พิศแต่หัวตลอดเท้าขาวแต่ตา
ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย
จมูกละม้ายคล้านพร้าขอ
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ
ลำคอโตตันสั้นกลม
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว
โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม
มันน่าเชยน่าชมนางเทวี ฯ ๖ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ นี่จะเป็นลูกสาวท้าวพระยา
ฤาว่าเป็นพระมเหสี
อกใจทึกทักรักเต็มที
ก็ทรงสีซอสุวรรณขึ้นทันใด ฯ ๒ คำ ฯ


(พัดชา)
๏ ยักย้ายร่ายร้องเป็นลำนำ
มีอยู่สองคำจำไว้ได้
สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใคร
ถูกแล้วกลับไปได้เท่านั้น ฯ ๒ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ แล้วซ้ำสีอิกกระดิกนิ้ว
ทำยักคิ้วแลบลิ้นเล่นขบขัน
เห็นโฉมยงหัวร่ออยู่งองัน
พระทรงธรรม์ทำหนักชักเฉื่อยไป ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะตานีศรีใส
สดับเสียงสีซอพอฤทัย
ให้วาบวับจับใจผูกพัน
ยิ่งคิดพิศวงพระทรงศักดิ์
ลืมรักท้าวประดู่ผู้ผัวขวัญ
ทำไฉนจะได้พระทรงธรรม์
มาเคียงพักตร์สักวันด้วยรักแรง
คิดพลางทางเข้าไปในห้อง
แล้วตักเอาเข้ากล้องมาสองแล่ง
ค่อยประจงลงใส่กระบะแดง
กับปลาสลิดแห้งห้าหกตัว
แล้งลงจากบรรไดมิได้ช้า
เข้ามานอบนบจบเหนือหัว
เอาปลาใส่ย่ามด้วยความกลัว
แล้วยอบตัวลงบังคมก้มพักตรา ฯ ๘ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น**
ลันไดให้แสนเสน่หา
อะรามรักยักคิ้วหลิ่วตา
พูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน ฯ ๒ คำ ฯ


(โอ้โลม)
๏ งามเอยงามปลอด
ชีวิตพี่นี้รอดด้วยข้าวสาร
เป็นกุศลดลใจเจ้าให้ทาน
เยาวมาลย์แม่มีพระคุณนัก
พี่ขอถามนามท้าวเจ้ากรุงไกร
ชื่อเรียงเสียงไรไม่รู้จัก
เจ้าเป็นพระมเหสีที่รัก
ฤานงลักษณ์เป็นราชธิดา
รูปร่างอย่างว่ากะลาสี
พี่ให้มีใจรักเจ้าหนักหนา
ว่าพลางเข้าใกล้กัลยา
พระราชาฉวยฉุดยุดมือไว้ ฯ ๖ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ ทรงเอยทรงกระสอบ
ทำเล่นเห็นชอบฤาไฉน
ไม่รู้จักมักจี่นี่อะไร
มาเลี้ยวไล่ฉวยฉุดยุดข้อมือ
ยิ่งว่าก็ไม่วางทำอย่างนี้
พระจะมีเงินช่วยข้าด้วยฤๅ
อวดว่ากล้าแข็งเข้าแย่งยื้อ
ลวนลามถามชื่อน้องทำไม
น้องมิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย
หยาบเหมือนขี้เลื่อยเมื่อยหัวไหล่
ลูกเขาเมียเขาไม่เข้าใจ
บาปกรรมอย่างไรก็ไม่รู้ ฯ ๖ คำ ฯ


(ชาตรี)
๏ ดวงเอยดวงไต้
สบถได้เจ็ดวัดทัดสองหู
ความจริงพี่มิเล่นเป็นเช่นชู้
จะร่วมเรียงเคียงคู่กันโดยดี
ถึงมิใช่ตัวเปล่าเจ้ามีผัว
พี่ไม่กลัวบาปดอกนะโฉมศรี
อันนรกตกใจไปไยมี
ยมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน
เพียงจับมือถือแขนอย่าแค้นเคือง
จะให้น้องสองเฟื้องอย่าหุนหัน
แล้วแก้เงินในไถ้ออกให้พลัน
นี่แลขันหมากหมั้นกัลยา
พอดึกดึกสักหน่อยนะน้องแก้ว
พี่จะลอดล่องแมวขึ้นไปหา
โฉมเฉลาเจ้าจงได้เมตตา
เปิดประตูไว้ท่าอย่าหลับนอน ฯ ๘ คำฯ


(ร่าย)
๏ ทรงเอยทรงกระโถน
อย่ามาพักปลอบโยนให้โอนอ่อน
ไม่อยากได้เงินทองของภูธร
นางเคืองค้อนคืนให้ไม่อินัง
ช่างอวดอ้างว่านรกไม่ตกใจ
คนอะไรอย่างนี้ก็มีมั่ง
เชิญเสด็จรีบออกไปนอกวัง
อย่ามานั่งวิงวอนทำค่อนแคะ
เพียงแต่รู้จักกันกระนั้นพลาง
พอเป็นทางไมตรีกระนี้แหละ
เมื่อพระอดข้าวปลาจึงมาแวะ
น้องฤๅชื่อประแดะดวงใจ
ท่านท้าวประดู่ผู้เป็นผัว
ยังไปเลี้ยงวัวหากลับไม่
แม้นยังช้าชีวันจะบรรลัย
เร่งไปเสียเถิดพระราชา ฯ ๘ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ลันไดยิ้มเยาะหัวเราะร่า
เราไม่เกรงกลัวอิทธิฤทธา
ท้าวประดู่จะมาทำไมใคร
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญ
แต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังแบกไหว
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟ
ประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ ฯ ๔ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะเห็นความจะวามวุ่น
จึงนบนอบยอบตัวทำกลัวบุญ
ไม่รู้เลยพ่อคุณนี้มีฤทธิ์
กระนั้นซิเมื่อพระเสด็จมา
หมูหมาย่นย่อไม่รอติด
ขอพระองค์จงฟังยั้งหยุดคิด
อย่าให้มีความผิดติดตัวน้อง
ท้าวประดู่ภูธรเธอขี้หึง
ถ้ารึ้งท้าวเธอจะทุบถอง
จงไปเสียก่อนเถิดพ่อรูปทอง
อย่าให้น้องชั่วช้าเป็นราคี
ว่าพลางทางสลัดปัดกร
ควักค้อนยักหน้าตาหยิบหยี
นาดกรอ่อนคอจรลี
เดินหนีมิให้มาใกล้กราย ฯ ๘ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ลันไดไม่สมอารมณ์หมาย
เห็นนางหน่ายหนีลี้กาย
โฉมฉายสลัดพลัดมือไป
มันให้ขัดสนยืนบ่นออด
เจ้ามาทอดทิ้งพี่หนีไปได้
ตัวกูจะอยู่ไปทำไม
ก็ยกย่ามขึ้นไหล่ไปทั้งรัก ฯ ๔ คำ ฯ เชิด


(ช้า)
๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่สุริย์วงศ์ทรงกระฏัก
เที่ยวเลี้ยงวัวล้าเลื่อยเหนื่อยนัก
เข้าหยุดยั้งนั่งพักในศาลา
วันเมื่อมเหสีจะมีเหตุ
ให้กระตุกในเนตรทั้งซ้ายขวา
ตุ๊กแกตกลงตรงพักตรา
คลานไปคลานมาก็สิ้นใจ
แม่โคขึ้นสัดผลัดโคตัวผู้
พิเคราะห์ดูหลากจิตคิดสงสัย
จะมีเหตุแม่นมั่นพรั่นพระทัย
ก็เลี้ยวไล่โคกลับเข้าพารา ฯ ๖ คำ ฯ เชิด


(ร่าย)
๏ ครั้นถึงขอบรั้วริมหัวป้อม
พระวิ่งอ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า
ไล่เข้าคอกพลันมิทันช้า
เอาขี้หญ้าสุมควันกันริ้นยุง
ยืนลูบเนื้อตัวที่หัวบันได
แล้วเข้าในปรางค์รัตน์ผลัดผ้านุ่ง
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างมุ้ง
เห็นกระบุงข้าวกล้องนั้นพร่องไป
ปลาสลิดในกระบายก็หายหมด
พระทรงยศแสนเสียดายน้ำลายไหล
กำลังหิวข้าเศร้าเสียใจ
ก็เอนองค์ลงในที่ไสยา
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมเหสี
เข้ามานี่พุ่มพวงดวงยี่หวา
วันนี้มีใครไปมา
ยังพาราเราบ้างฤๅอย่างไร ฯ ๘ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะฟังความที่ถามไถ่
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอ
ร้อนตัวกลัวภัยพระภูมี
ตั้งแต่พระเสด็จไปเลี้ยงวัว
น้องก็นอนซ่อนตัวอยู่ในที่
ไม่เห็นใครไปมายังธานี
จงกราบใต้เกศีพระราชา ฯ ๔ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ได้ฟังให้กังขา
จึงซักไซ้ไล่เลียงกัลยา
ว่าไม่มีใครมาน่าแคลงใจ
ทั้งข้าวทั้งปลาของข้าหาย
เขายักย้ายขายซื้อฤๅไฉน
ฤาลอบลักตักให้แก่ผู้ใด
จงบอกไปนะน้องนางอย่าพรางกัน ฯ ๔ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะตกใจอยู่ไหวหวั่น
ด้วยแรกเริ่มเดิมทูลพระทรงธรรม์
ว่าใครนั่นมิได้จะไปมา
ครั้นจะไม่ทูลความไปตามจริง
ก็เกรงกริ่งด้วยพิรุธมุสา
สารภาพกราบลงกับบาทา
วอนว่าอย่าโกรธจงโปรดปราน
วันนี้มีหน่อกระษัตรา
เที่ยวมาสีซอขอข้าวสาร
น้องเสียมิได้ก็ให้ทาน
สิ้นคำให้การแล้วผ่านฟ้า ฯ ๖ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ได้ฟังนึกกังขา
ใครหนอหน่อเนื้อกระษัตรา
เที่ยวมาสีซอขอทาน
เห็นจะเป็นอ้ายระเด่นลันได
ที่ครอบครองกรุงไกรเทวฐาน
มันแสแสร้งแกล้งทำมาขอทาน
จะคิดอ่านตัดเสบียงเอาเวียงชัย
จึงชี้หน้าว่าเหม่มเหสี
มึงนี้เหมือนหนอนที่บ่อนไส้
ขนเอาปลาข้าวให้เขาไป
วันนี้จะได้อะไรกิน
ถ้ามั่งมีศรีสุขก็ไม่ว่า
นี่สำเภาเลากาก็แตกสิ้น
แล้วมิหนำซ้ำตัวเป็นมลทิน
จะอยู่กินต่อไปให้คลางแคลง
เจ้าศรัทธาอาศัยอย่างไรกัน
ฤๅกระนี้กระนั้นก็ไม่แจ้ง
จะเลี้ยงไว้ไยเล่าเมื่อข้าวแพง
ฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว ฯ ๑๐ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะเลี้ยวลอดกอดเอวได้
เหมือนเล่นงูกินหางไม่ห่างไกล
นึกประหวั่นพรั่นใจอยู่รัวรัว
โปรดก่อนผ่อนถามเอาความจริง
เมื่อชั่วแล้วแทงทิ้งเถิดทูนหัว
อันพระสามีเป็นที่กลัวฅ
จะทำนอกใจผัวอย่าพึงคิด
พระหึงหวงมิได้ล่วงพระอาญา
ที่ให้ข้าให้ปลานั้นข้าผิด
น้องนี้ทำชั่วเพราะมัวมิด
ทำไมกับชีวิตไม่เอื้อเฟื้อ
น้องมิได้ศรัทธาอาศัย
จะลุยน้ำดำไฟเสียให้เชื่อ
ไม่มีอาลัยแก่เลือดเนื้อ
แต่เงื้อเงื้อไว้เถิดอย่าเพ่อแทง ฯ ๘ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่เดือดนักชักพระแสง
ถ้าบอกจริงให้กูอีหูแหว่ง
จะงดไว้ไม่แทงอย่าแย่งยุด
กูก็เคยเกี้ยวชู้รู้มารยา
มิใช่มึงโสดามหาอุด
มันเป็นถึงเพียงนี้ก็พิรุธ
ถึงดำน้ำร้อยผุดไม่เชื่อใจ
ยังจะท้าพิสูจน์รูดลอง
พ่อจะถองให้ยับจนตับไหล
เห็นว่ากูหลงรักแล้วหนักไป
เออระไรนี่หวาน้ำหน้ามึง
หาเอาใหม่ให้ดีกว่านี้อีก
ผิดก็เสียเงินปลีกสองสลึง
กังลังกริ้วโกรธาหน้าตึง
ถีบผึงถูกตะโพกโขยกไป ฯ ๘ คำ ฯ


(โอ้)
๏ เมื่อนั้น
นางประแดะเจ็บจุกลุกไม่ไหว
ค่อยยืนยันกะเผลกเขยกไป
เข้ายังครัวไปร้องไห้โฮ
ร้องดิ้นเร่าเร่าพ่อเจ้าเอ๋ย
ลูกไม่เคยโกหกพกโมโห
เสียแรงได้เป็นข้ามาแต่โซ
กลับพาโลโกรธาด่าตี
น้องก็ไร้ญาติวงศ์พงศา
หมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มี
อยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา
ตะโพกโดกโดยเมียแทบคลาด
ถีบด้วยพระบาทดังชาติข้า
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้ายา
ตายโหงตายห่าก็ตายไป ฯ ๘ คำ ฯ โอด


(ร่าย)
๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ได้ฟังดังเพลิงไหม้
ดูดู๋อีประแดะค่อนแคะได้
กลับมาด่าได้อีใจเพชร
เอาแต่คารมเข้าข่มกลบ
กูจะจิกหัวตบเสียให้เข็ด
ชะช่างโศกาน้ำตาเล็ด
กูรู้เช่นเห็นเท็จทุกสิ่งอัน ฯ ๔ คำ ฯ


๏ ว่าพลางทางคว้าได้พร้าโต้
ดุด่าตาโตเท่ากำปั้น
ผลักประตูครัวไฟเข้าไปพลัน
นางประแดะยืนยันลั่นกลอนไว้
ผลักมาผลักไปอยู่เป็นครู่
จะเข้าไปในประตูให้ให้จงได้
กระทืบฟากโครมครามความแค้นใจ
อึกทึกทั่วไปในพารา ฯ ๔คำ เชิด ฯ


๏ บัดนั้น
พวกหัวไม้กระดูกผีขี้ข้า
บ่อนเลิกกินเหล้าเมากลับมา
ได้ยินเสียงเถียงด่ากันอื้ออึง
จึงหยุดนั่งข้างนอกริมคอกวัว
ว่าเมียผัวคู่นี้มันขี้หึง
พอพลบค่ำราตรีตีตะบึง
อึงคะนึงนักหนาน่าขัดใจ
แล้วคว้าก้อนอิฐปาเข้าฝาโผง
ตกถูกโอ่งปาล้อแลหม้อไห
พลางตบมือร้องเย้ยเผยไยไย
แล้ววิ่งไปทางตะพานบ้านตะนาว ฯ ๖ คำ ฯ รัว


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ตาพองร้องบอกกล่าว
หยิบงอบครอบหัวตัวสั่นท้าว
อ้ายพ่อจ้าวชาวบ้านวานช่วยกัน
วัวน้ำวัวหลวงกูได้เลี้ยง
อิฐมาเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่น
สาเหตุมีมาแต่กลางวัน
คงได้เล่นเห็นกันอ้ายลันได
ทั้งนี้เพราะอีมะเหเสือ
จะกินเลือดกินเนื้อกูให้ได้
ขว้างวังครั้งนี้ไม่มีใคร
ชู้มึงฤๅมิใช่อีมารยา
พระฉวยได้ไม้ยุงปัดกวัดแกว่ง
สำคัญว่าพระแสงขึ้นเงื้อง่า
เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยา
วิ่งมาวิ่งไปอยู่ในครัว ฯ ๘ คำฯ


(สับไทย)
๏ เหม่เหม่ดูดู๋อีประแดะ
ทีนี้แหละเห็นประจักษ์ว่ารักผัว
หากกูรู้ตัว
หัวไม่แตกแตน
ขว้างแล้วหนีไป
มิได้ตอนแทน
ยิ่งคิดยิ่งแค้น
เลี้ยวเล่นไล่ตี ฯ ๔ คำฯ


(รื้อ)
๏ ทรงเอยทรงกระบอก
น้องไม่เห็นด้วยดอกพระโฉมศรี
ปาวังครั้งนี้
มิใช่ชู้น้อง
สืบสมดังว่า
สัญญาให้ถอง
วิ่งพลางทางร้อง
ตีน้องทำไม ฯ ๔คำฯ


๏ เหลือเอยเหลือเถน
ขัดเขมรขบฟันมันไส้
ปรานีมึงไย
ใครใช้มีชู้
ไม่เลี้ยงเป็นเมีย
ไปเสียอย่าอยู่
รั้ววังของกู
ปิดประตูตีแมว ฯ ๔ฯ เชิด


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะเหนื่อยอ่อนลงนอนแซ่ว
ยกมือท่วมหัวลูกกลัวแล้ว
กอดก้นผัวแก้วเข้าคร่ำครวญ ฯ ๒ คำ ฯ


(โอ้)
๏ โอ้พระยอดตองของน้องเอ๋ย
กระไรเลยช่างสลัดตัดเด็ดด้วน
แม้นชั่วช้าจริงจังก็บังควร
พ่อมาด่วนมุทะละดุดันไป
จงตีแต่พอหลาบปราบพอจำ
จะเฝ้าเวียนเฆี่ยนซ้ำไปถึงไหน
งอโทษโปรดเถิดพระภูวไนย
น้องยังไม่เคยไกลพระบาทา
ถึงไม่เลี้ยงเป็นพระมเหสี
จะขอพึ่งบารมีเป็นขี้ข้า
ไม่ถือว่าเป็นผัวเพราะชั่วข้า
จะก้มหน้าเป็นทาสกวาดขี้วัว
สิบคนเข้าไม่เท่าหนึ่งคนออก
อยู่กับคอกช่วยใช้พ่อทูนหัว
ร่ำพลางทางทุ่มทอดตัว
ตีอกชกหัวแล้วโศกา ฯ ๘ คำ ฯ โอด


(ร่าย)
๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ได้ฟังนางร่ำว่า
ให้นึกสมเพชเวทนา
น้ำตาไหลนองสักสองครุ
หวนรำลึกนึกถึงอ้ายลันได
กลับเจ็บใจไม่เหือดเดือดดุ
โมโหมืดหน้าบ้ามุทะลุ
กระดูกผุเมื่อไรก็ไม่ลืม
กูไม่อยากเอาไว้ใช้สอย
นึกว่าปล่อยสิงสัตว์วัดสามปลื้ม
แต่ชั้นทอผ้ายังคาฟืม
ดีแต่ยืมเข้ากินอีสิ้นอาย
แม่เรือนเช่นนี้มิเป็นผล
มันจะลวงล้วงก้นจนฉิบหาย
ไปเสียมึงไปไม่เสียดาย
กูจะเป็นพ่อหม้ายสบายใจ
สาวสาวชาววังก็ยังถม
ไม่ปรารมภ์ปรารี้จะมีใหม่
เก็บเงินค่านมผสมไว้
หาไหนหาได้ไม่ทุกข์ร้อย ฯ ๑๐ คำฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะหูกลวงดวงสมร
สุดที่จะพรากจากจร
บังอรข้อนทรวงเข้าร่ำไร ฯ ๒ คำฯ


(โอ้)
๏ โอ้พ่อใจบุญของเมียเอ๋ย
แปดค่ำพ่อเคยเชือดคอไก่
ต้มปลาร้าตั้งหม้อกับหน่อไม้
เมียยังอาลัยได้อยู่กิน
พระเคยรีดนมวัวให้เมียขาย
แม้สายที่ยังไม่หมดสิ้น
เหลือติดก้นกระบอกเอาจอกริน
ให้เมียกินวันละนิดคิดทุกวัน
แต่พอพลบรบเมียเข้ากระท่อม
พ่อนั่งกล่อมจนหลับแล้วรับขวัญ
ในมุ้งยุงชุมพ่อสุมควัน
สารพันทรงศักดิ์จะรักเมีย
จะกินอยู่พูวายสบายใจ
พ่อมอบไว้ให้วันละสิบเบี้ย
อกน้องดังไฟไหม้ลามเลีย
จะทิ้งเมียเสียได้ไม่ไยดี
เที่ยงนางกลางคืนพ่อทูนหัว
จะให้ออกนอกรั้วลูกกลัวผี
ก้นไต้ก้นไฟก็ไม่มี
ผัดรุ่งพรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ
ถึงจะไม่ได้อยู่บนตำหนัก
ขอพึ่งพักอาศัยเพียงใต้ถุน
ยกโทษโปรดเถิดพ่อใจบุญ
เสียแรงได้เลี้ยงขุนมีคุณมา ฯ ๑๒ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ได้ฟังชังน้ำหน้า
น้อยฤๅอีขี้เค้าเจ้าน้ำตา
ยังจะร่ำไรว่ากวนใจกู
เมินเสียเถิดหวาอีหน้ารุ้ง
อย่าพูดอยู่ข้างมุ้งรำคาญหู
ไสหัวมึงออกนอกประตู
ขืนอยู่ช้าไปได้เล่นกัน
ว่าพลางปิดบานทวารโผง
เข้าในห้องท้องพระโรงขมีขมัน
ยกหม้อตุ้งก่าออกมาพลัน
พระทรงศักดิ์ชักควันโขมงไป ฯ ๖ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นชลนัยน์
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้าการ
แต่ทุบตีมิหนำแล้วซ้ำขับ
ให้อายอับเพื่อนรั้วหัวบ้าน
เช้าค่ำร่ำว่าด่าประจาน
ใครจะทานทนได้ในฝีมือ
กูจะหาผัวใหม่ให้ได้ดี
เอาโยคีกินไฟไม่ได้ฤๅ
ไหนไหนชาวเมืองก็เลื่องฦๅ
อึงอื้ออับอายขายพักตรา
คว้าถุงเบี้ยได้ใส่กระจาด
ฉวยผ้าแพรขาดขึ้นพาดบ่า
ลงจากบันไดไคลคลา
น้ำตาคลอคลอจรลี ฯ ๘ คำฯ ทยอย


(โอ้ร่าย)
๏ ครั้นมาพ้นคอกวัวรั้วตราง
เหลียวหลังดูปรางค์ปราสาทศรี
เคยได้ค้างกายมาหลายปี
ครั้งนี้ตกยากจะจากไป
หยุดยืนสะอื้นอยู่อืดอืด
เดือนก็มืดเต็มทีไม่มีไต้
ฝนตกพรำพรำทำอย่างไร
ก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ที่ร้าน ฯ๔ คำ ฯ โอด


(ช้า)
๏ เมื่อนั้น
โฉมระเด่นลันไดใจหาญ
ครั้นพลบค่ำเข็นบันไดไว้นอกชาน
ยกเชิงกรานสุมไฟใส่ฟืนตอง
แล้วเอนองค์ลงเหนือเสื่อกระจูด
นอนนิ่งกลิ้งทูดอยู่ในห้อง
เสนาะเสียงสำเนียงพิราบร้อง
ครางกระหึมครึ้มก้องบนกบทู
แว่วแว่วเค้าแมวในกลีบเมฆ
ดูวิเวกลงหลังคาเที่ยวหาหนู
พระเผยบัญชรแลชะแง้ดู
ดาวเดือนรุบรู่ไม่เห็นตัว
พระพายชายพัดอุตพิด
พระทรงฤทธิ์เต็มกลั้นจนสั่นหัว
หอมชื่นดอกอัญชันที่คันรั้ว
ฟุ้งตลบอบทั่วทั้งวังใน ฯ ๘ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ หวนรำลึกนึกถึงนางประแดะ
ที่นัดแนะแต่เย็นเป็นไฉน
ดึกแล้วแก้วตาเห็นช้าไป
จะร้องไห้รำพึงถึงพี่ชาย
จำจะไปให้ทันดังสัญญา
ได้ย่องเบาเข้าหานางโฉมฉาย
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกาย
สวมประคำดีควายสำหรับตัว
แหงนดูฤกษ์บนฝนพยับ
เดือนดับลับเมฆขมุกขมัว
ลงบันไดเดินออกมานอกรั้ว
โพกหัวกลัวอิฐคิดระอา
หลายครั้งตั้งแต่มันทิ้งกู
พระโฉมตรูเหลือบซ้ายแลขวา
แล้วผาดแผลงสำแดงเดชา
เดินมาตามตรอกซอกกำแพง ฯ ๘ คำ เชิด


๏ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงคอกโคขัง
จะเข้าได้ดอกกระมังยังไม่แจ้ง
เห็นกองไฟใส่สุมอยู่แดงแดง
แอบแฝงฟังอยู่ดูท่าทาง
เห็นทีท้าวประดู่ผู้ผัว
จะนอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง
แต่โฉมศรีนิฤมลอยู่ปรางค์
กูจะขึ้นหานางทางล่องแมว
จึงกลิ้งครกที่ใต้ถุนเข้าหนุนตีน
พระโฉมฉายป่ายปีนอยู่แด่วแด่ว
อกใจไม้ครูดขูดเป็นแนว
จะเห็นรักบ้างแล้วฤๅแก้วตา
พระประหวั่นพรั่นตัวกลัวจะตก
ทำหนูกกเจาะเจาะเคาะข้าฝา
ไฉนไม่คอยกันดังสัญญา
อนิจจานอนได้ไม่คอยรับ ฯ ๘คำฯ


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่สุริย์วงศ์โก้งโค้งหลับ
พอประสาทสะเทือนไหวตกใจวับ
ลุกขยับนิ่งฟังนั่งหลับตา
คิดว่ามเหสีที่ถูกถอง
แสบท้องหายโกรธเข้ามาหา
ให้นึกสมเพชเวทนา
สู้ทนทานด้านหน้ามาง้องอน
จะขับหนีตีไล่ไม่ไปจาก
อีร่วมเรือนเพื่อนยากมาแต่ก่อน
แล้วคลี่ผ้าคลุมหัวล้มตัวนอน
พระภูธรทำเฉยเลยหลับไป ฯ ๖ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ลันไดล้วงสลักชักกลอนได้
เปิดประตูเยื้องย่องเข้าห้องใน
เข้านั่งใกล้ในจิตคิดว่านาง
สมพาสยักษ์ลักหลับขึ้นทับบน
ท้าวประดู่เต็มทนอยู่ข้างล่าง
พระสรวมสอดกอดไว้มิได้วาง
ช้อนคางพลางจูบแล้วลูบคลำ ฯ ๔ คำฯ


๏ เมื่อนั้น
ท้าวประดู่ผุดลุกขึ้นปลุกปล้ำ
ตกใจเต็มทีว่าผีอำ
ต่างคนต่างคลำกันวุ่นไป
เอ๊ะจริตผิดแล้วมิใช่ผี
จะว่าพระมเหสีก็มิใช่
ขนอกรกนักทักว่าใคร
ตกใจฉวยตระบองร้องว่าคน
ลันไดโดดโผนโดนประตู
ท้าวประดู่ร้องโวยขโมยปล้น
ตะโกนเรียกเสนาสามนต์
มันไม่มีสักคนก็จนใจ
ระเด่นโดดโลดออกมานอกรั้ว
ผิดตัวแล้วกูอยู่ไม่ได้
ก็ผาดแผลงสำแดงฤทธิไกร
วิ่งไปตามกำลังไม่รั้งรอ ฯ ๘ คำ ฯ


๏ หมาหมู่กูไล่ไม่มีขวัญ
ปล่อยชันสามขาเหมือนม้าห้อ
เต็มประดาหน้ามืดหืดขึ้นคอ
ต้องหยุดยั้งรั้งรอมาตามทาง
ถึงโดยจะไล่ก็ไม่ทัน
ผิดนักสู้มันแต่ห่างห่าง
พอแว่วสำเนียงเหมือนเสียงคราง
อยู่ในร้านริมข้างหนทางจร
เอ๊ะผีฤๅคนขนลุกซ่า
พระหัตถ์คว้าฉวยอิฐได้สองก้อน
หยักรั้งตั้งท่าจะราญรอน
นี่หลอกหลอนเล่นข้าฤๅว่าไร
ครั้นได้ยินเสียงชัดเป็นสตรี
จะลองฤทธิ์สักทีหาหนีไม่
กำหมัดเยื้องย่องมองเข้าไป
แก่สาวคราวไหนจะใคร่รู้ ฯ ๘ คำฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะนั่งซุ่มคลุมหัวอยู่
สาละวนโศกาน้ำตาพรู
เห็นคนย่องมองดูก็ตกใจ
พอฟ้าแลบแปลบช่วงดวงพักตร์
เห็นระเด่นรู้จักก็จำได้
ทั้งสองข้างถอยทีดีใจ
ทรามวัยกราบก้มบังคมคัล ฯ ๔ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ระเด่นเห็นนางพลางรับขวัญ
นั่งลงซักไซ้ไล่เลียงกัน
ไฉนนั่นกัลยามาโศกี
พี่หลงขึ้นไปหานิจจะเอ๋ย
ไม่รู้เลยน้องแก้วแคล้วกับพี่
พี่ไปพบท้าวประดุ่ผู้สามี
เกิดอึงมี่ตึงตังทั้งพารา
มันจะกลับจับพี่เป็นผู้ร้าย
จะฆ่าเสียให้ตายก็ขายหน้า
เขาจะค่อนติฉินนินทา
อดสูเทวาสุราลัย
จะเอาเมียแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัว
คิดกลัวบาปกรรมไม่ทำได้
พี่ขอถามสาวน้อยกลอยใจ
เป็นไฉนกัลยามาโศกี ฯ ๘ คำฯ


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะดวงยี่หวามารศรี
สะอื้นพลางทางทูลไปทันที
ทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว
นางตีอกชกหัวและร้องไห้
ยังจะกลับมาเยาะนี่เพราะใคร
ดูแต่หลังไหล่เถิดพ่อคุณ
เขาขับหนีตีไล่ไสหัวส่ง
เพราะพระองค์ทำความจึงวามวุ่น
แต่รอดมาได้เห็นก็เป็นบุญ
อย่าอยู่เลยพ่อคุณเขาตีตาย ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น
ลันไดได้ฟังนางโฉมฉาย
เขม้นมองดูหลังยังไม่ลาย
พระจูบซ้ายจูบขวาห้าหกที
เอาพระหัตถ์ช้อนคางแล้วพลางปลอบ
อยู่พะอืดพะออบเลยโฉมศรี
จะละห้อยน้อยใจไปไยมี
บุญพี่กับนางได้สร้างมา
อันระตูฤๅจะคู่กับอนงค์
มิใช่วงศ์อสัญแดหวา
โฉมเฉลาเจ้าเหมือนบุษบา
จรกาฤๅจะควรกับนวลน้อง
ถ้าเป็นระเด่นเหมือนเช่นพี่
จึงควรที่ร่วมภิรมย์ประสมสอง
ตรัสพลางทางชวนนวลละออง
เยื้องย่องนำพานางเดิน ฯ ๘ คำฯ เพลง


๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนตำหนัก
ตงหักกลัวจะตกงกเงิ่น
ค่อยพยุงจูงนางย่างดำเนิน
ชวนเชิญโฉมเฉลาเข้าที่นอน
ลดองค์ลงเหนือไสยาสน์
พระยี่ภู่ปูลาดขาดสองท่อน
แล้วจึงมีมธุรสสุนทร
อ้อนวอนโฉมเฉลาให้เข้ามุ้ง ฯ ๔ คำ ฯ


(โอ้โลม)
๏ โฉมเอยโฉมเฉิด
เอนหลังบ้างเถิดจวนจะรุ่ง
เสียแรงพี่รักเจ้าเท่ากระบุง
จะไปนั่งทนยุงอยู่ทำไม
เชิญมาร่วมเรียงเคียงเขนย
อย่าทุกข์เลยพี่จะหามาเลี้ยงให้
เรามั่งมีศรีสุขทุกข์อะไร
เงินทองถมไปที่ในคลัง
แต่ข้าวสารให้ทานพี่นี้ฤๅ
ไม่พักซื่อได้ขายเสียหลายถัง
ทั้งปลาแห้งปลาทูปูลัง
เสบียงกรังมีมากไม่ยากจน
ขี้คร้านขายนมวัวเหมือนผัวเจ้า
พี่ได้เปล่าสารพัดไม่ขัดสน
จงนั่งกินนอนกินสิ้นกังวล
พี่จะขวนขวายหาเอามาเลี้ยง
ว่าพลางทางตระโบมโลมเล้า
อะไรเล่าฮึดฮัดเฝ้าฟัดเหวี่ยง
อุแม่เอ๋ยมิได้เจ้าใกล้เคียง
จะตกเตียงไปแล้วแก้วกลอยใจ ฯ ๑๐ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ เมื่อนั้น
นางประแดะคลุ้มคลั่งผินหลังให้
ถอยถดขยดหนีภูวไนย
นี่อะไรน่าเกลียดเบียดคะยิก
ลูกผัวหัวท้ายเขาไม่ขาด
ทำประมาทเปล่าเปล่าเฝ้าหยุกหยิก
ปัดกรค้อนควักผลักพลิก
อย่าจุกจิกกวนใจไม่สบาย
อย่าพักอวดสมบัติพัสถาน
ไม่ต้องการดอกจะสู้อยู่เป็นหม้าย
หนีศึกปะเสือเบื่อจะตาย
เฝ้ากอดก่ายไปได้ไม่ละวาง ฯ ๖ คำ ฯ
(ชาตรี)


๏ สุดเอยสุดลิ่ม
เชิญผินหน้ามายิ้มกับพี่บ้าง
เฝ้าถือโทษโกรธเกรี้ยวไปเจียวนาง
ไม่เห็นอกพี่บ้างที่อย่างนั้น
เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดใครอดได้
พี่ก็ไม่มีคู่ตุนาหงัน
ตั้งแต่นวดปวดท้องมาสองวัน
ใครจะกลั้นอดทนพ้นกำลัง
ทำไมกลับลูกผัวกลัวมันไย
ผิดก็เสียสินไหมให้ห้าชั่ง
จูบเชื่อเสียก็ได้แล้วไม่ฟัง
ลูบหน้าลูบหลังนั่งแอบอิง
น้อยฤๅนมแต่ละข้างช่างครัดเคร่ง
ปลั่งเปล่งใจหายคล้ายกล้วยปิ้ง
อุ้มขึ้นใส่ตักรักจริงจริง
อย่าสะบิ้งสะบัดตัดไมตรี
ยิ่งดิ้นยิ่งกอดสอดสัมผัส
อุยหน่าอย่ากัดพระหัตถ์พี่
ปัดป้องว่องไวอยู่ในที
จนล้มกลิ้งลงบนที่บรรทมใน
อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้อง
ฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไป
หลังคาพาไลแทบเปิดเปิง
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่
ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิง
อึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ
นกกระจอกออกจากวิมานมะพร้าว
ต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ
ขนคางหางปีกเปียกจนมอซอ
ฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล ฯ ๑๖ คำ โลม


๏ เมื่อนั้น
นางประแดะหูกลวงห่วงสงสาร
ได้ร่วมรักชักเชยก็ชื่นบาน
เยาวมาลย์หมอบเมียงเคียงกาย
แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้ง
นางนั่งเป่าชุดจุดถวาย
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพราย
โฉมฉายขวั้นอ้อยคอยแก้คอ
ถูกเข้าสามจะหลิ่มยิ้มแหยะ
นางประแดะสรวลสันต์กลั้นหัวร่อ
พระโฉมยงทรงขับเพลงซอ
ฉลองหอทรงธรรม์แล้วบรรทม ฯ ๖ คำ ฯ ตระ


(ช้า)
๏ มาจะกล่าวบทไป
ถึงนางกระแอทวายขายขนม
เจ้าเงินโปรดปรานพานอุดม
นุ่งห่มผืนผ้าค่าบาทเฟื้อง
ผูกดอกออกจากฟากเรือนนาย
ลดเลี้ยวเที่ยวขายข้าวเหนียวเหลือง
ตามตลาดเสาชิงช้ามาเนืองเนือง
ปลดเปลื้องเฟื้องไพได้ทุกวัน
กับโฉมยงองค์ระเด่นลันได
รักใคร่กันอยู่ก่อนเคยผ่อนผัน
เชื่อถือซื้อขายเป็นนิรันดร์
เว้นวันสองวันหมั่นไปมา น ๖ คำ ฯ


(ร่าย)
๏ วันเอยวันหนึ่ง
คิดถึงลันไดจะไปหา
นึ่งข้าเหนียวใส่กระจากยาตรา
ตรงมาหาชู้คู่ชมเชย
เที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร้องแล้วท่องเที่ยว
ซื้อข้าวเหนียวหน้ากุ้งกินแม่เอ๋ย
ที่รู้จักทักถามกันตามเคย
บ้างเยาะเย้ยหยอกยื้อซื้อหากัน
พอเวลาตลาดวายสายแสง
กระเดียดตระแกรงกรีดกรายผายผัน
ทอดกรอ่อนคอจรจรัล
มาปราสาทสุวรรณเจ้าลันได ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า


๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนนอกชาน
เห็นทวารบานปิดคิดสงสัย
ทั้งเสียงคนคุยกันอยู่ขั้นใน
ทรามวัยแหวกช่องมองดู
เห็นโฉมยงองค์ประแดะกับระเด่น
คลี่ผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่
โมโหมืดหน้าน้ำตาพลู
ดังหัวหูจะแยกแตกทำลาย
นี่เมียอ้ายประดู่อยู่หัวป้อม
ไยจึงมายินยอมกันง่ายง่าย
ทั้งสีจักรยักหล่มถ่มร้าย
มันจะให้ฉิบหายขายตน
ชิชะเจ้าระเด่นพึ่งเห็นฤทธิ์
แต่ผ้านุ่งยังไม่มิดจะปิดก้น
จองหองสองเมียจะเสียคน
คิดว่ายากจนเฝ้าปรนปรือ
จึงแกล้งเรียกพลันเจ้าลันได
ค่าข้าเหนียวสองไพไม่ให้ฤๅ
ผ่อนผัดนัดหมายมาหลายมื้อ
แม่จะยื้อให้อายขายหน้าเมีย ฯ ๑๐ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
โฉมระเด่นลันไดแรกได้เสีย
กำลังนั่งเคล้าเฝ้าคลอเคลีย
ชมโฉมโลมเมียอยู่ริมมุ้ง
ยกบาทพาดเพลาเกาสีข้าง
สัพยอกหยอกนางอย่างลิงถุง
แล้วยื่นมือมาจี้เข้าที่พุง
นางสะดุ้งดุกดิกพลิกตะแคง
เขาจะนอนดีดีเฝ้าจี้ไช
ช่างกระไรหน้าเป็นเอ็นแข็ง
จะนิ่งอยู่สักประเดี๋ยวทำเรี่ยวแรง
มาแหย่แย่งกวนใจไปทีเดียว
พอระเด่นลันไดยินเสียงเรียกหา
ก็รู้ว่าชู้เก่าเจ้าข้าวเหนียว
จึงร้องว่าใครนั่นขันจริงเจียว
จะมาเที่ยวจัณฑาลพาลเอาความ
ค่าข้าเหนียวสองไพข้าให้แล้ว
มาทำเสียงแจ้วแจ้วไม่เกรงขาม
ไม่ได้ติดค้างมาอย่าวู่วาม
ลุกลามสิ้นทีมีแต่อึง ฯ ๑๐ ฯ เจรจา


๏ เมื่อนั้น
นางทวายยิ่งพิโรธโกรธขึ้ง
ยืนกระทืบบนนอกชานอยู่ตึงตึง
หึงหวงด่าว่าท้าทาย
นี่แน่อ้ายสำเร็จเจ็ดตะคุก
มาลืมคุณข้าวสุกเสียง่ายง่าย
กูเชื่อหน้าคิดว่าลูกผู้ชาย
จึงสู้ขายติดค้างยังไม่รับ
ช่างโกหกพกลมประสมประสาน
จะประจานเสียให้สมที่สับปลับ
แต่เบี้ยติดสองไพยังไม่รับ
กูสิ้นนับถือแล้วอ้ายลันได ฯ ๖ คำ ฯ


๏ เมื่อนั้น
ระเด่นตอบตามอัชญาสัย
เขาขี้คร้านพูดจาอย่าหนักไป
ข้ารู้ใจเจ้าดอกกัลยา
เจ้าพิโรธโกรธขึ้งเพราะหึงหวง
จึงจาบจ้วงล่วงเกินเป็นหนักหนา
ข้าผิดแล้วกลอยใจได้เมตตา
เชิญเข้ามาเคหาปรึกษากัน ฯ ๔ คำฯ


บทละคอนเรื่อง ระเด่นลันได ตามฉบับเดิม ที่ได้เคยเห็นมาแต่ก่อน เรื่องนี้ต่อไป นางทวายเข้าไปในเรือน เกิดทะเละ กับ นางประแดะ นางทวายไล่ตีนางประแดะ ลอดล่องหนีไป แล้วระเด่นลันได โลมนางทวายเข้าห้อง เป็นหมดเรื่อง เพียงนั้น พอได้เล่มสมุดไทย ๑ หนังสือเรื่องนี้ มีผู้ชอบกันมาก มันบ่นกันว่า เสียดายที่จบเสีย จึงมีผู้อื่นแต่งต่อ คิดผูกเรื่องต่อไป ตามอำเภอใจอีกยืดยาว อย่างเช่นพิมพ์ขายในตลาด สำนวนไม่ถึงตอนต้น ด้วยผู้แต่ง ไม่มีความสามารถ ในวรรณคดี เหมือนพระมหามนตรี (ทรัพย์) ทั้งเรื่องที่ต่อ ก็ไม่เป็นเรื่องจริง ดังตอนต้น จึงได้ตัดเสีย ไม่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ คงพิมพ์ที่พระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่ง มีฉบับในหอพระสมุด ฯ เพียงเท่านี้










จากหนังสือบทละคอนพระมะเหลเถไถ อุณรุทร้อยเรื่อง ระเด่นลันได
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์บรรณาคาร โดยการอนุญาตจากกรมศิลปากร,
พ.ศ.๒๕๑๔ หน้า ๒๐๓-๒๖๐
   

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ก็เหมือนเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการหลั่งไหลของผู้คนสู่ตอนบนของประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวตามดอยและอุทยานต่างๆ ดูจะเย้ายวนเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวมากที่สุด ว่าไหมคะ ....ดังนั้น วันนี้เลยขอเอาใจนักชอบเที่ยวทั้งหลาย พาไปท่องเที่ยวที่ "ภูชี้ฟ้า" รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้าน่ะชนะเลิศ ทั้งบรรยากาศและธรรมชาติที่สวยงามจับใจ ราวกับภาพวาดเชียวหละ.. คอนเฟิร์ม!!! ว่าแล้วก็ไปท่องแดนแห่งขุนเขา และสายหมอกที่ภูชี้ฟ้ากันเลย....

ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงที่สุดในเทือกเขาดอยผาหม่น ติดชายแดนไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ในพื้นที่เขตอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติด้วยลักษณะหน้าผาปลายยอดแหลม เป็นแนวยาวที่ชี้ไปบนฟ้า ทางฝั่งประเทศลาว จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า "ภูชี้ฟ้า" นั่นเอง ด้านที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นับเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ทั้งนี้ กรมป่าไม้ได้มีคำสั่งให้จัดตั้ง "ภูชี้ฟ้า" เป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ด้วยเนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200 เมตร ถึง 1,628 เมตร
   

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ก็เหมือนเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการหลั่งไหลของผู้คนสู่ตอนบนของประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวตามดอยและอุทยานต่างๆ ดูจะเย้ายวนเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวมากที่สุด ว่าไหมคะ ....ดังนั้น วันนี้เลยขอเอาใจนักชอบเที่ยวทั้งหลาย พาไปท่องเที่ยวที่ "ภูชี้ฟ้า" รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้าน่ะชนะเลิศ ทั้งบรรยากาศและธรรมชาติที่สวยงามจับใจ ราวกับภาพวาดเชียวหละ.. คอนเฟิร์ม!!! ว่าแล้วก็ไปท่องแดนแห่งขุนเขา และสายหมอกที่ภูชี้ฟ้ากันเลย....

ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงที่สุดในเทือกเขาดอยผาหม่น ติดชายแดนไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อยู่ในพื้นที่เขตอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติด้วยลักษณะหน้าผาปลายยอดแหลม เป็นแนวยาวที่ชี้ไปบนฟ้า ทางฝั่งประเทศลาว จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า "ภูชี้ฟ้า" นั่นเอง ด้านที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว นับเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ทั้งนี้ กรมป่าไม้ได้มีคำสั่งให้จัดตั้ง "ภูชี้ฟ้า" เป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ด้วยเนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,200 เมตร ถึง 1,628 เมตร

ต้นไม้ดอกไม้ประจำวันเกิด


      
กิดวันอาทิตย์ 

          ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม 

          ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์

          คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย 



        เกิดวันจันทร์  
          ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี 

          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน 

        เกิดวันอังคาร  
          ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข

          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้ 


        เกิดวันพุธ

          ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรักสันติภาพ

          ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชนิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน 


        เกิดวันพฤหัสบดี 

          ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ 

          ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ 


        เกิดวันศุกร์  
          ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน

          ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอเลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง 


        เกิดวันเสาร์  
          จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด 

          ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว

โดราเอม่อน

                                                                  

                                                     

                                                                            Doraemon : โดเรม่อน

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก


ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่า แมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด


การ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดยฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525

เซอร์ไอแซก นิวตัน

เซอร์ไอแซก นิวตัน 

               

ประวัติเซอร์ไอแซก นิวตัน 
               เซอร์ไอแซก นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1643 (หรือ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1642 ตามปฏิทินเก่า) นิวตันเกิดที่เมืองวูลสธอร์ป ลิงคอนไชร์ ประเทศอังกฤษ นิวตันเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่มีผู้ใดคาดว่าจะรอดชีวิตได้ บิดา (ชื่อเดียวกัน) ได้เสียชีวิตตั้งแต่ก่อนนิวตันถือกำเนิด 3 เดือน มารดาคือ นางฮานนาห์ อายสคัฟ นิวตันได้แต่งงานใหม่เมื่อนิวตันอายุได้ 3 ขวบและได้ทิ้งนิวตันไว้ให้ยายของนิวตันเลี้ยงจนสามีคนที่สองตายเมื่อนิวตันอายุ 11ขวบ นิวตันจึงได้อยู่กับมารดาอีกครั้งหนึ่ง นิวตันได้รับการศึกษาที่โรงเรียนหลวงแกรนแธมและคาดหวังว่าจะดำเนินชีวิตเป็นเกษตรกรตามประเพณีของครอบครัว แต่มารดาได้รับการชักจูงให้ส่งนิวตันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และในปี พ.ศ. 2204 นิวตันก็ได้เข้าศึกษาในทรินิตีคอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในฐานะนิสิตยากจนที่ต้องทำงานเป็นผู้ช่วยงานวิชาการเพื่อหาเงินจุนเจือค่าเล่าเรียน ใน นิวตันจบการศึกษาได้รับปริญญาตรีเมื่อ พ.ศ. 2208 โดยไม่ได้เกียรตินิยม ในขณะที่เตรียมการเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทเมื่อปี พ.ศ. 2207 ก่อนรับปริญญาก็ได้เกิดโรคกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยปิดไม่มีการเรียนการสอนในปีต่อมา ในระหว่างช่วงพักการระบาดของกาฬโรค นิวตันต้องอยู่บ้านแต่ก็ได้ศึกษาธรรมชาติของแสงสว่างและได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้น นิวตันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับแสงอาทิตย์อย่างหลากหลายด้วยแท่งแก้วปริซึมและสรุปว่ารังสีต่างๆ ของแสงซึ่งนอกจากจะมีสีแตกต่างกันแล้วยังมีภาวะการหักเหต่างกันด้วย การค้นพบที่เป็นการอธิบายว่าเหตุที่ภาพที่เห็นภายในกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้เลนส์แก้วไม่ชัดเจนก็เนื่องมาจากการหักเหของพู่กันรังสีของลำแสงที่ผ่านแก้วเลนส์ทำให้มุมหักเหต่างกันมีผลให้ระยะโฟกัสต่างกันด้วย จึงเป็นไม่ได้ที่จะได้ภาพที่ชัดด้วยเลนส์แก้ว การค้นพบนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานให้มีการพัฒนากล้องโทรทรรศน์แบบกระจกเงาสะท้อนแสงที่สมบูรณ์โดยวิลเลียม เฮอร์สเชล และ เอิร์ลแห่งโรส ในเวลาต่อมา ในเวลาเดียวกับการทดลองเรื่องแสงสว่าง นิวตันก็ได้เริ่มงานเกี่ยวกับแนวคิดในเรื่องการโคจรของดาวเคราะห์ในการกลับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2210 นิวตันได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ในทรินิตีคอลลเลจและได้รับปริญญาโทในปี พ.ศ. 22 11 ปีต่อ ไอแซก บาร์โรว์ได้ลาออกจากตำแหน่ง "เมธีคณิตศาสตร์ลูเคเชียน" เพื่อเปิดโอกาสให้นิวตันผู้เป็นศิษย์รับตำแหน่ง ชุดปาฐกถาของนิวตันในตำแหน่งนี้มีผลให้เกิดตำรา "ทัศนศาสตร์" เล่ม 1 (Optics Book 1)
                การหล่นของผลแอปเปิลทำให้เกิดคำถามอยู่ในใจของนิวตันว่าแรงของโลกที่ทำให้ผลแอปเปิลหล่นน่าจะเป็นแรงเดียวกันกับแรงที่ "ดึง" ดวงจันทร์เอาไว้ไม่ไปที่อื่นและทำให้เกิดโคจรรอบโลกเป็นวงรี ผลการคำนวณเป็นสิ่งยืนยันความคิดนี้แต่ก็ยังไม่แน่ชัดจนกระทั่งการการเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างนิวตันและโรเบิร์ต ฮุก ที่ทำให้นิวตันมีความมั่นใจและยืนยันหลักการกลศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ได้เต็มที่ ในปีเดียวกันนั้น เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ได้มาเยี่ยมนิวตันเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเรื่องดาวเคราะห์ ฮัลลเลย์ต้องประหลาดใจที่นิวตันกล่าวว่าแรงกระทำระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ที่ทำให้การวงโคจรรูปวงรีได้นั้นเป็นไปตามกฎกำลังสองที่นิวตันได้พิสูจน์ไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งนิวตันได้ส่งเอกสารในเรื่องนี้ไปให้ฮัลเลย์ดูในภายหลังและฮัลเลย์ก็ได้ชักชวนขอให้นิวตันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น และหลังการเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ระหว่างนิวตันและฮุกมาเป็นเวลานานเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ค้นพบ "กฎกำลังสอง" แห่งการดึงดูด หนังสือเรื่อง "หลักการคณิตศาสตร์ว่าด้วยปรัชญาธรรมชาติ" (Philosophiae naturalist principia mathematica หรือ The Mathematical Principles of Natural Philosophy) ก็ได้รับการตีพิมพ์ซึ่งเนื้อหาในเล่มอธิบายเรื่องความโน้มถ่วงสากล และเป็นการวางรากฐานของกลศาสตร์ดั้งเดิม (กลศาสตร์คลาสสิก) ผ่านกฎการเคลื่อนที่ ซึ่งนิวตันตั้งขึ้น. นอกจากนี้ นิวตันยังมีชื่อเสียงร่วมกับ กอทท์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ในฐานะที่ต่างเป็นผู้พัฒนาแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์อีกด้วย



วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556


ความรักเหมือนกับ...
H2O ที่จำเป็นต่อชีวิต
หินผา ถ้ารักนี้มั่นคง
สายน้ำ ที่ไม่มีอะไรมาตัดให้สายสัมพันธ์ให้ขาดลงได้

ก้อนเมฆ ที่เราสามารถมองได้หลายรูปแบบ
ท้องฟ้า ที่จะอยู่กับเราไปทุกที่
แสงแดด ที่จะให้ความอบอุ่นกับเราเสมอ
อากาศ ไม่มีตัวตน(สัมผัสไม่ได้)

ต้นหญ้า ที่สามารถเกิดได้ทุกที่
ต้นไม้ ที่เราทั้งสองต้องดูแลและใส่ใจ(ด้วยรัก)


สายลม ที่จะมาอย่างพลิ้วไหวหรืออาจดั่งพายุ
ทะเล ที่สามารถจัดระบบนิเวศของมันเองอย่างสมบูรณ์
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อ ไหร่… 
ที่มา: hilight.kapook.com